เกินครึ่งชีวิตที่อยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตมาตลอด เห็นทั้งดีทั้งร้าย
รับรู้เรื่องราวที่เล่าต่อไม่ได้ก็มาก ไม่ว่าจะเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง
ไม่รู้เป็นดวงชะตาหรืออะไร ต้องมารับรู้เบื้องลึกของคนต่าง ๆ นานา
ซึ่ง.. ไม่ได้น่าตื่นเต้นซี๊ดซ๊าดอะไรหรอกนะ
พอรับรู้มาถึงจุด ๆ หนึ่งแล้ว มันทั้งบั่นทอนและกัดกร่อนจิตใจ.. เหลือเกิน..
จะเรียกว่าโตมาแบบโลกสวยก็ได้.. ถ้าเป็นศัพท์สมัยนี้
โตมาด้วยความคิดที่ว่าทุกปัญหาสามารถเคลียร์และแก้ไขได้ ถ้าทุกฝ่ายเปิดใจรับฟังและร่วมมือกัน
แล้วก็เพ้อเจ้อกับโลกที่รับรู้ผ่านทางหนังสือพอที่จะเชื่อแบบนั้นมาตลอด..
จนแม้ได้เจอเรื่องพลิกผันครั้งใหญ่ของชีวิตแล้ว ลึก ๆ ในใจก็ยังแอบเชื่อ.. อย่างนั้น
จนเข้ามหาวิทยาลัย จนได้เจอกับหลากหลายเรื่องราวในโลก..
จนถึงทุกวันนี้.. แม้จะรู้แล้วว่าโลกนั้นร้ายกาจ ไม่ได้สวยงามเหมือนที่เคยเชื่อมั่นครั้งยังเด็ก
แต่หลายครั้ง.. หลายครั้งก็ยังพลาด.. พลั้ง ไปกับการเชื่อในความความใฝ่ดีของมนุษย์..
สุดท้ายก็ได้แต่สมน้ำหน้าตัวเองว่า.. อีกแล้ว..
นั่งใคร่ครวญเรื่องนี้มาสักพักแล้ว พึ่งมีวันสองวันมานี้เองที่ระลึกได้ลาง ๆ ว่า
น่าจะเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นไฟแรงใฝ่ความยุติธรรมเป็นที่มั่นนั้น เคยจิตพล่อย(?)ไปอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธองค์ว่า”ขอให้ได้รู้ความจริง”
.. เป็นไงล่ะ #ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย #แต่คนอาจตายเพราะความจริง ไม่ได้เกินเลยไปเลย..
หลายต่อหลายครั้งแล้ว ที่นั่งอยู่ดี ๆ ก็มีคนเอา”ความจริง”มาบอก จะจริงของเขา หรือจริงของเราก็ไม่รู้แหละ
แต่มันบ่อย.. บ่อยจนชักสงสัยว่านี่คนเขาเห็นเราเป็นศาลไคฟงหรือไร จึงต่างนำพาเรื่องราวต่าง ๆ มาให้รับรู้ถึงเพียงนี้..
มาปรับทุกข์ก็มี มาเตือนก็มาก สิ่งที่ทำได้ก็แค่.. นิ่ง และรับรู้ไว้ ลืมไปก็มาก ไม่ได้บอกต่อใคร เพราะระแวงการเสี้ยมอยู่
เราไม่รู้หรอกว่าใครมาบอกอะไรเราเพื่อหวังผลอะไรบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ส่วนมากคนที่นำความมาบอกนั้น ไอ้ที่เสี้ยมน่ะ น้อย ไอ้ที่จริงน่ะ.. เยอะจนเหนื่อยใจ
เยอะจนกัดกร่อน และบาดลึกไปในใจว่า.. ฉากหน้ากับฉากหลังของคนนี่ต่างกันขนาดนี้เชียวหรือ
อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องธรรมดาโลกอยู่แล้ว ที่ทุกคนจะมี”ด้านหน้า”และ”ด้านหลัง”
แม้แต่เราเอง คนที่เกลียดขี้หน้าเรา อ่านมาถึงตอนนี้ ก็คงก่นด่าปรามาสน้ำหน้าเราเสียไม่มีดีเหมือนกัน หาว่าเราสร้างภาพอะไรก็มาก
มันก็.. ธรรมดาโลกเนอะ ใช่ อะไรก็ธรรมดาโลกทั้งนั้นแหละ แต่โลกนี้ธรรมดาเสียที่ไหนล่ะ
กว่าสิบปีแล้วกระมัง ที่ถ้าเรารู้ว่าใครเกลียด ไม่ชอบขี้หน้า หรือไม่ถูกชะตาเรา หรือเราจะชะตาไม่ต้องเขาก็ตามแต่
เราจะห่างออกมา รักษาระยะ ไม่ไปคลุกคลีประจี๋จ๋อหรือกระเหี้ยนกระหือรือยุ่งแส่เรื่องของเขา
ในเมื่อไม่ชอบขี้หน้ากัน จะไปยุ่งกับเขาทำไม?? รังแต่จะขุ่นเคืองใจเสียเปล่า ๆ เอาเวลาไปทำมาหาเลี้ยงชีพดีกว่าไหม??
แต่ก็.. นะ มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์
ก็ยังมีคนบางจำพวกที่สนุกสนานกับการจำแลงกายเป็นบ่าง มาคอยยุยงส่งเสี้ยม หรือไม่ก็หลอกเราเรื่องนั้นนี้ แล้วก็หัวเราะสมน้ำหน้าที่หลอกเราได้ ว่าเราโง่ เออ.. เราก็โง่จริง ๆ แหละ ที่เชื่อใจคนง่าย หรือไม่ก็มาตีสนิทเราเพื่อจะคาบความนำไปบอกฝ่ายที่เกลียดชังเรา
จริงบ้าง เท็จบ้าง ตามแต่จริตและอคติหรือฉันทาคติในใจจะปรุงแต่งกันไป บางคนไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรเราเลย ก็วาดภาพบรรยายชีวิตเราได้บรรเจิดยิ่ง จนเรายังต้องทึ่งว่า.. ไปเอามาจากไหน..
ฝ่ายรับก็.. มนุษย์.. รับแล้วก็หูตาโต วิ่งโร่เอาไปบอกต่อใส่สีเพิ่มเติมอย่างอร่อยเอร็ด เท็จจริงไม่มีใครนำพา..
แม้เราจะระวังกาย ระวังใจของเราแล้ว.. ก็ช่างมีผู้แส่ส่ายอยากสนิทสนมกับเราเสียเหลือเกิน น่าปลื้มปริ่มเป็นที่ยิ่ง.. งั้นรึ???
ไม่แค่เรื่องของเราเอง การที่ได้รับรู้เรื่องของบุคคลที่สอง สาม สี่.. บางทีก็ทำให้ประหลาดใจ
มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้ว.. ซ้ำเล่า.. ราวกับหนังที่ฉายซ้ำซากแต่เปลี่ยนผู้แสดง.. กับการที่ใครสักคนจะไปตีสนิทกับคนสองฝ่าย แล้วนำความจริงบ้างเท็จบ้างไปยุยงให้ต่างฝ่ายต่างต้องเกลียดชังกัน รู้สึกไม่ดีต่อกัน..
เราไม่เคยเข้าใจจริตบ่างเลย.. เขาทำไปทำไม นั่นคือความสุขของชีวิตเขาเหรอ กับการได้ยุยงให้คนชังน้ำหน้ากัน.. เขาได้อะไรจากการทำอย่างนั้น???
เราก็ไม่ได้คิดว่าเราดีอะไรนักหนา ก็ยังเป็นปุถุชนธรรมดา ที่คอยระวังกาย ปาก ใจของตัวเอง
บางทีก็มีเผลอล้ำก้ำเกินคนอื่นไปบ้าง แต่ก็พยายามปรับปรุงตัวและขัดเกลาอยู่เมื่อนึกได้
แต่บางที บางเรื่องก็ทำให้เรารู้สึกว่า .. เอ๊ะ เราโง่ หรือเราโง่
อย่างเรื่องแย่ ๆ ของพวกคนที่เสี้ยม หรือเอาเราไปใส่ไคล้ให้คนอื่นฟัง ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยบาดหมางอะไรกันกับเขา แต่เราคงสร้างกุศลโดยการเป็นเหยื่อทางปากของเขาได้ เรารู้.. รู้เยอะมาก แต่เราก็ไม่พูด ได้แต่เก็บไว้บั่นทอนใจตัวเองว่า อ้อ ที่แท้ก็เป็นคนแบบนี้..
หลายต่อหลายครั้ง คนที่เคยทำไม่ดีกับเรา เขามาขอโทษในสิ่งที่ได้ก้ำเกินเราไว้ เราก็อภัยให้ ไม่ได้ถือสาหาความหรือเอาไปก่นด่าว่ากล่าวต่อใดใดกับใคร
หรืออย่างการที่เคยทำให้คน ๆ หนึ่งต้องถูกจองจำด้วยกุญแจมือ และเข้าห้องขังไปได้ มีแต่เรากับทนายที่รู้
ย้อนกลับกัน หากเป็นอีกฝ่ายที่ทำให้เราต้องตกอยู่ในสภาพนั้นได้ เขาคงไม่รอรี ไปโพนทะนาตีฆ้องร้องป่าวประจานเราไปทั่วสารทิศแล้ว
แต่เรา.. ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครฟังเลย ว่าเคยทำให้คน ๆ นั้นเข้าคุกได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นจุดที่สามารถนำไปขยี้อย่างที่เรียกว่า Rub in the face ได้อย่างดี
อย่างนี้จะเรียกว่าเราโง่ หรือเราโง่ดี???
ถึงกระนั้นแล้ว.. ท่ามกลางโลกที่สับสนนี้ ท่ามกลางมนุษย์หลายแบบที่เราไม่เข้าใจว่าเขา #ทำไปทำไม
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะใด ๆ มันก็แค่อยู่ที่เราเลือกจะ #ทำ หรือ #ไม่ทำ
และสิ่งที่เราเลือกจะ #ไม่ทำ บางครั้งก็สำคัญกว่า.. จริง ๆ