เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ว่านน้ำ บองเต่า และพี่ปีเตอร์ ไปลั้นลากิน in London กันมาค่ะ โดยการสนับสนุนของ Singha Corp. จุดเริ่มก็มาจากการที่ไฟน์ ฟู้ด แคปปิตอล ในเครือบุญรอด บริวเวอรี่ เซ็นสัญญาซื้อกิจการร้านอาหารของกลุ่ม Orchid Group กลุ่มร้านอาหารและผับยักษ์ใหญ่ในอังกฤษไปเมื่อเดือนตุลาที่ผ่านมาเป็นจำนวน 4 ร้าน ได้พูดคุยกันกับทางสิงห์ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจดี ทางสิงห์ก็เลยชวนว่านไปเยี่ยมชมสถานที่จริงซะเลย จึงเป็นที่มาของทริป #SinghaInLondon นี้ค่ะ =)
จริง ๆ จะบอกว่าทริปนี้นี่มหากาพย์เยอะมาก เอาแค่เรื่องขอวีซ่ากับเรื่อง AirBnb ก็แยกไปเล่าได้เรื่องละบล็อกละ ฉะนั้นขอไว้พูดถึงทีหลังละกัน เอาเรื่องตั๋วเครื่องบินก่อน.. เราเริ่มจองตั๋วกันตั้งแต่เดือนมีนาคม ตอนนั้นก็ดูอยู่หลายสายการบิน ทั้งการบินไทย / British Airways / EVA และสายการบินตะวันออกกลางอีกสองสาย ซึ่งตอนนั้นก็มีโปรโมชั่นอยู่นะ ราคาก็ไม่หนีกันเท่าไหร่ การบินไทยโดดนำมาที่ ฿38,340 / ฿31 ,680 / ฿32,895 / ฿36,390 / ฿32,340 ซึ่งเล่นเอางงไปเหมือนกันว่าบางสายนี่ตั๋วโปร บินvia แต่แพงกว่าบินตรงซะงั้น สุดท้ายเพื่อความสงบสุขและได้หลับยาวบนฟากฟ้า ว่านก็เลยเลือก EVA ค่ะ เพราะBA นี่ถึงจะราคาย่อมเยาสุดแต่ถามน้องบองเต่า ผู้คร่ำหวอดเส้นทางบินยุโรปแล้วเธอส่ายหัวดิก เราก็ต้องเชื่อผู้ชำนาญการสิเนอะ..
รีวิว EVA เส้นทาง Bangkok – Heathrow ย่อ ๆ : เป็นเครื่องBoeing 777-300ER เครื่องไม่เก่า ว่านสูง170ซ.ม. รู้สึก seat pitch มันยังแคบไปนิดนึง กว่าจะหาจุดนอนได้ก็พลิกซ้ายพลิกขวาอยู่พอสมควร (นี่ขนาดหนีบหมอนลมไปนะ) แต่ก็ไม่ถึงกับอึดอัด อาหารบริการก็ถือว่ามาตรฐาน ถ้าต้องบินเส้นนี้สายนี้อีกก็ไม่เกี่ยงค่ะ
พอมาถึง Heathrow ผ่านตม. + รับกระเป๋า + ศุลกากรมาอย่างเรียบร้อยงดงามดี การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองนั้น ว่านฝากเพื่อนจอง Mini Cab ให้มารับที่สนามบินไว้เรียบร้อย เพราะคำนวณดูแล้ว 3 คนนั่ง Mini Cab ราคาอยู่35ปอนด์+- หารกันตกคนละ 10ปอนด์นิด ๆ สบายกว่าลากกระเป๋าขึ้น Heathrow Express แล้วไหนจะยังต้องลง Tube (รถไฟใต้ดินลอนดอน) ลากกระเป๋าไปถึงที่พักอีก.. คิดแล้วเฮือกมาก เลยขอนั่ง Mini Cab สบาย ๆ ละกัน ใครที่เดินทางหลายคน อย่าลืมดู option นี้ไว้บ้างนะคะ ^_^
เราลากกระเป๋าออกมาอย่างโทรมเล็กน้อย แต่ไม่มาก เวลา ณ ขณะนั้นก็สองทุ่มกว่าได้ หมายใจว่าโยนตัวเองขึ้นรถแล้วจะนอนให้สาสมใจ เพื่อนบอกว่าคนขับจะถือป้ายเขียนชื่อเราไว้ ว่านก็กวาดตาไปอย่างหมายมั่นมาก.. ไม่มีค่ะ!! กวาดอีกหลายรอบจนแทบจะเป็นเลข ๘ แล้วก็ไม่มี!! เล่นเอาเหวอรับประทานกลางสนามบินเลย.. สรุปย่อ โทรถามเพื่อนแล้วเกิดความผิดพลาดทางการจองเกิดขึ้นซึ่งเป็นไปได้ยากมาก แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว Y_Y เรียกว่ารับน้องกันตั้งแต่มาถึงเลยทีเดียว.. สุดท้ายก็มี 3 ทางเลือก 1. รอ 45 นาทีบ.เดิมส่งรถคันใหม่ไปรับ 2. ลากกระเป๋าขึ้นรถไฟ 3. เรียก Mini Cab จากสนามบิน 79 ปอนด์..
หันไปมองสมาชิกร่วมทีมอีก 2 หนุ่ม ต่างยันยืนว่ายังไงก็ได้ บ่ยั่น.. แต่ดิฉันก็เห็นแววอิดโรยในดวงตานะคะ.. เอาวะ เรียก Mini Cab จากสนามบินไปละกัน ประหยัดเมื่ออื่นเอาหน่อยก็คงโอเค.. ประเดิมที่สนามบินไป 79 ปอนด์ + ค่าซิมเน้นเน็ตอีก 30 ปอนด์ของ Three
Mini Cab ที่นี่ก็คือรถสามัญแหละ อารมณ์เหมือน UberX หรือ Grab Car บ้านเรา ถ้าBlack Cab หรือCab เฉย ๆ คือเจ้าแท็กซี่ดำมีป้าย Taxi พะอยู่ข้างบนที่เขาว่ารู้ดีและสามารถพาไปได้ทุกแห่งหนในลันดั้น.. บริการของ Mini Cab เจ้าจากสนามบินก็โอเค่ะ จะไม่โอเคก็ตอนที่เค้าบอกว่าเนี่ย เรียกที่สนามบินทำไม มันแพง วันหลังยูจองก่อนสิ -“- แหม รู้แล้วจ้า แต่มันสุดวิสัยอะนะ.. ถึงยังไงถ้ามากันหลายคน ว่านว่า Mini Cab ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีงามนะคะ จองได้ผ่านหลายเว็บไซต์เลยค่ะ เสิร์ชจากคำว่า Mini Cab ได้เลยค่ะ =)
อย่างรวดเร็ว.. เราก็มาถึงที่พัก ว่านใช้บริการ AirBnb ทีแรกก็ดูหลายทางเลือกเหมือนกัน ว่าจะเป็นโรงแรมดีไหม หรือจะยังไงดี เนื่องจากทริปนี้ว่านเซ็ตสมาชิกไว้ที่ 3 คน จะพักโรงแรมมันก็รู้สึกห่างเหิน อยากได้ห้องกลางที่ไว้นั่งเม้ามอยหอยกาบ ตอนเช้ามาทำกับข้าวกันฮิฮะด้วย(ประหยัดค่าอาหารเช้าไปอีก) ก็เลยเลือกเป็น AirBnb ละกัน.. อันที่จริงบริการจองอพาร์เม้นต์นี่เดี๋ยวนี้เว็บจองโรงแรมหลาย ๆ เว็บก็มีกันแล้วนะ แต่หลังจากค้นข้อมูล+เรตติ้ง+ฟีดแบ็คแล้วก็.. อืม.. ยังไงก็AirBnbดีกว่า.. วิธีการเลือกการจองจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามบล็อกพิเศษเฉพาะAirBnb เมื่อไหร่ไม่รู้ เพราะยาวมาก -_-
ที่พักที่เลือก อยู่ใกล้London Bridge Tube ว่านเป็นคนชอบพักอยู่ใกล้สถานีค่ะ หลังจากเหนื่อยล้าจากการเที่ยวมาทั้งวันแล้ว เราควรมีที่พักที่สามารถกลับนอนตายได้อย่างไม่ลากสังขารจนเกินไปนัก.. ที่นี่อันที่จริงก็เดินจากสถานีประมาณ 10 นาทีได้ (5นาที ถ้าจ้ำ) ก็นับได้ว่าโอเคค่ะ ถ้าใครสนใจอยากสมัคร AirBnb ก็ตามลิ้งค์นี้เลยค่า -> สมัคร AirBnb ได้เครดิตพักฟรีอีก$25 <-
อีกเหตุผลนึงที่เลือกที่นี่ นอกจากจะใกล้สถานีแล้วก็คือ.. ครัวเย้ายวนมาก ว่านบอกเจ้าบ้านเค้าไปว่า Your kitchen is very seductive. เค้าชอบใจใหญ่ 55555
คืนแรกผ่านไปอย่างไม่มีอะไรมาก ทริปนี้เป็นทริปสบาย ๆ ค่ะ เน้นกิน(จริง ๆ ) เราอาบน้ำ นั่งชิลกันนิดหน่อยแล้วก็แยกย้ายกันไปนอน อากาศลอนดอนหนาวกว่าที่คิดไว้ เล่นเอาเครียดไปนิดนึงเหมือนกันว่าจะใส่อะไรดี เพราะเตรียมเสื้อผ้าเวรี่ซัมเมอร์มาทั้งนั้นเลย กะว่าซัก 22-23 พี่ลัน ฯ จัดให้ 17-18 เล่นเอาบรึ่ยยยย..
เช้ามาควันออกปากเล็ก ๆ เจ้าบ้านบ้านนี้ใจดีมากค่ะ ซื้อขนมปัง ครัวซอง ผลไม้และอาหารนานาไว้ให้เต็มตู้เย็น เรียกว่าอยากกินอะไรหยิบมากินได้เลย เช้านี้เลยจัดไปเบา ๆ
ดูเป็นสาวสุขภาพดี กินคลีนเนอะ อิอิ สารภาพว่าจริง ๆ แล้วทาเนย(แท้) ซะฉ่ำเลยค่ะ แพลนทีแรกกะว่าจะออกจากบ้านกันเที่ยง ปล่อยให้นอนตายคลายjet lag กันตามสบาย.. ปรากฏว่าไม่เกิน 10 โมงก็ตื่นกันละ เลยไปเดินเล่น China Town กันละกัน แต่ก่อนเดินก็ต้องกินกันก่อน ไปถึงทั้งที China Town ก็ต้องกินเป็ดใช่ไหม แต่อย่างที่จั่วหัวไว้ว่าเป็ดลันดั้นไม่ได้มีแต่ Four Seasons นะจ๊ะ เราปักหมุดประเดิมร้านแรกของทริปกันที่ The Duck and Rice แนะนำโดยคุณ @Choti แห่ง Vesper ค่ะ #ถอนสายบัว1ครั้ง
The Duck and Rice เป็น“Chinese gastropub” ร้านล่าสุดของ Alan Yau เจ้าพ่อผู้ปั้น Hakkasan และYauatcha จนโด่งดัง ร้านตกแต่งได้อย่างสวยงามน่านั่งชิลสมความเป็น Gastropubมาก การบริการจัดได้ว่าดี มีน้องพนักงานเสิร์ฟเป็นคนไทยหน้าตาสวยเฉี่ยวด้วย ขอถ่ายรูปมาเป็นประจักษ์พยานแล้ว แต่เธอเขิน ฉะนั้นคงต้องไปพิสูจน์กันเองนะคะ =P
เมนูอาหารก็เรียกว่าหลากหลายใช้ได้เลยแหละ ทำการบ้านเล็กน้อยก่อนมาแล้ว ฉะนั้นที่ไม่ควรพลาดคือ Venison Puff
ไส้เป็นกวางน้อย (แต่ไม่บอกก็ไม่รู้หรอก กิน ๆ ไปเหอะ อร่อยออก) แป้งร่วนหอม อบมาได้พอดี ดูความเงางามแล้วคงไม่ต้องบรรยายเนอะ อร่อยตามภาพ ^_^
แน่นอนว่าจะเข้าร้านติมซำโดยขาดฮะเก๋า-ซิวไหมไปไม่ได้.. เลือกเป็นขนมจีนหอยเชลล์ค่ะ
ทั้งสองอย่างชิ้นใหญ่ เต็มปากคำตามสไตล์ติมซำตะวันตก ไส้แน่น แป้งไม่เละ.. ผ่านสบาย ๆ
อยากหมูแดง.. เลยสั่งมาลองหน่อย รสชาติหมูแดงใช้ได้อยู่ ติดเค็มไปนี๊ดดด เดียว.. แต่หมูแดงพี่มันมาก -“- มาแทบจะเป็นหมูสามชั้นเลยทีเดียว ถ้ามันน้อยกว่านี้จะเลิฟมาก
กินแต่แป้ง-เนื้อ-แป้ง-เนื้อ ขอผักมาขัดตาทัพบ้าง เลือกมาเป็นมะเขือม่วงอบค่ะ ผ่านสบาย ๆ อีกเหมือนกัน
ในที่สุดเธอก็มา.. เป็ดย่าง <3
เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ความสมดุลเค็มหวานกำลังดี ไม่หวานเจื้อย.. ขนาดว่านไม่กินหนัง ยังขูดมันออกแล้วเล็มไป2-3ชิ้น =P
หลังจากถูกเป็ดจู่โจมเรียบร้อยไปหนึ่งมื้อ เราก็เดินย่อยกันใน China Town กินไอติม เจอหน้าเพื่อนฮิฮะกันตามประสา แล้วก็ไปเดินเล่นกันแถว Covent Garden ค่ะ
มื้อเย็นไปกินกัน Gatwick นู่นนน ไว้ค่อยเล่าอีกเหมือนกัน ตัดฉากมาสายของวันรุ่งขึ้นดีกว่าค่ะ
เช้ามาก็สวย ๆ อีกแหละ.. แบร์รี่รวมกับโยเกิร์ต <3
อย่างนึงที่ต้องขอชมRestaurant Industry ของลอนดอนก็คือ.. จองง่ายมาก!!! ง่ายในที่นี้ไม่ได้หมายถึง availability นะ แต่หมายถึงวิธีการจอง.. ร้านอาหารของลอนดอนส่วนมากจะใช้ระบบการจองของ OpenTable กรอกง่าย ค้นหาง่าย แคนเซิลง่าย.. อย่างสมมติเราจะจองร้าน Dinner by Heston Blumenthal นี่แหละ เราจะเลาะเข้าไปจากเว็บไซต์ของร้าน หรือจะเข้าตรงเลยที่ http://www.opentable.co.uk/dinner-by-heston-blumenthal ก็ได้ พอเข้าไปแล้วก็เลือกจำนวนคน วัน เวลาที่ต้องการ ระบบจะขึ้นมาให้เลยว่าใน2.5 ชั่วโมงก่อน/หลังเวลาที่เราต้องการมีที่ว่างไหม ถ้าไม่มี วันที่ว่างเร็วสุดคือวันที่เท่าไหร่ แค่คลิ้กจอง กรอกข้อมูล ใส่รายละเอียดบัตรเครดิตเป็นการันตี.. แค่เนี้ยะ ง่ายน้ำตาไหล Y_Y ในเรื่องของการคอนเฟิร์มโต๊ะ จะมีบางร้านที่มีพิเศษบ้าง ก็จะค่อย ๆ เล่าไปตามลำดับค่ะ
ในขณะที่ระบบของญี่ปุ่น.. (พูดแล้วปาดน้ำตา) ยิ่งร้านดัง ๆ อย่างลุงจิโรจน์ (ร้านที่กินซ่านะจ๊ะ รปปงงิจองไม่ยาก วอล์กอินยังได้เลย) / ลุงไซโต้ / Ryugin บลา ๆ เนี่ย.. โดยปรกติก็จะเปิดจอง 1 เดือนล่วงหน้า เช่น จะกินกันยา โทรมา 1 สิงหานะจ๊ะ แล้วโทรไป 1 สิงหาใช่ว่าจะได้จองนะ จะมีสองอย่างหลัก ๆ ที่เจอคือ สายไม่ว่าง และ ติด แต่ไม่มีคนรับสาย -_- เรียกได้ว่ามีเงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมี”ดวง”ด้วย เผลอ ๆ บางร้านต้องมี”เส้น” ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องมีลูกค้าเก่า refer มาเท่านั้น ก็นับเป็นความท้าทาย(กัดฟันกรอด)ไปอีกแบบ พอมาเจอระบบจองลอนดอนเลยรู้สึกว่าชีวิตดี๊ดี.. ถึงบางร้านจะต้องจองล่วงหน้านานหน่อยก็ไม่ซี(เรียส) เพราะเราสามารถรู้และวางแผนได้ทันทีว่าจะเอาร้านไหนไปเสียบวันและเวลาไหนบ้าง
กลับมาที่มื้อเที่ยงของเราดีกว่า เที่ยงวันนี้เป็นร้าน Dinner by Heston Blumenthal ตั้งอยู่ที่ Mandarin Oriental Hyde Park เป็นร้านมิชลินสองดาว และร้านอันดับ7 แห่ง The World’s 50 Best Restaurants ของ Restaurant magazine
สไตล์อาหารที่นี่ จะเป็นอาหารอังกฤษย้อนยุค.. ย้อนยุคที่ว่านี้คือย้อนยุคกันจริงจัง ไม่ใช่แค่เอาคำว่า”โบราณ”มาพะหน้า เป็นการนำสูตรเก่ามาปรุุงขึ้นใหม่ บางสูตรนี่เรียกได้ว่าเก่าแก่ตั้งแต่สมัยปี 1300s กันเลยเชียว โดยจะมีบอกปีและรายละเอียดไว้ในเมนูค่ะ
เมนูเลื่องชื่อของที่นี่ก็คือ Meat Fruit และ Tipsy Cake ซึ่ง.. ไม่มีใน Set Lunch
ก่อนมาก็ศึกษารายละเอียดไว้แล้วแหละ บอกแล้วว่าจริงจังเรื่องกินมาก ที่ท่งที่เที่ยวนี่ไม่ได้ดูเลย แค่ดูคร่าว ๆ ว่าแถวร้านอาหารมีอะไรให้เดินย่อยบ้างแค่นั้นน่ะล่ะ..
ในเมื่อ Set Lunch ไม่มีสิ่งที่เราต้องการกิน เราเลยสั่งกันเป็น A la carte
เริ่มด้วยขนมปังกันก่อนเลย..
Meat Fruit มาแล้วจ้ะ ตำรับตั้งแต่ปี1500 เป็นparfait.. ไม่ใช่ไอศกรีมนะ แต่หมายถึงPâté ตับไก่บดเนื้อเนียน ปรุงรสมาอย่างพอดี เคลือบด้วยเจลาตินส้มแมนดารินออกเปรี้ยวนำหวานเพื่อตัดรสและช่วยให้ไม่เลี่ยน จำแลงเสิร์ฟมาในรูปผลส้มน่ารักน่าเอ็นดู เคียงด้วยขนมปังกรุ่น ๆ
สั่งMeat Fruit มาตั้งสองจาน กลัวแย่งกัน สุดท้ายรู้สึกว่าเยอะไปหน่อย (หนักขนมปัง เรื่องของเรื่อง) -_- มาสามคนสั่งจานเดียวยังไหวนะ
อีกจานที่เลือกเป็น Powdered Duck Breast ปี1670
เสิร์ฟพร้อม Smoked confit fennel, spiced blood pudding & umbles (แหม ใครว่าฝรั่งไม่กินเครื่องใน)
อีกจานเป็น Bone in Rib of Hereford Prime for 2 ปี1830
เสิร์ฟพร้อม Mushroom ketchup & fries
เป็ดสุกไปหน่อย หนังsearใช้ได้ ส่วน Ribs สั่ง medium rare ได้มาอย่างที่สั่งก็ถือว่าดี แต่ทั้งสองจานขาดความตื่นเต้น เรียกว่ากินแล้วก็แล้วกัน ไม่ได้มีความรู้สึก”อยากซ้ำ”หรืออะไร ลงความเห็นเหมือนน้องบองเต่าคือดี แต่เคยเจอที่ดีกว่านี้..
ของหวาน.. สั่งมาสองอย่าง Spring Tart ปี1720
เป็นของหวานที่มุ้งมิ้งน่ารักเชียว การจัดจานเอาไปเลย 10 เต็ม สมความเป็นspring มาก แต่ถ้ามาอีกขอลองอย่างอื่น..
อีกจานแน่นอนว่าต้อง Tipsy Cake อันลือชื่อ.. ตำรับตั้งแต่ปี 1810
เป็นบริยอชนุ่มชุ่มรัม นอนฟูฟ่อง หน้าแฉล้มด้วยเกล็ดน้ำตาลบาง ๆ มาในหม้อน้อย เสิร์ฟพร้อมสับปะรดคอสตาริก้าย่างซอสนานกว่าสามชั่วโมง ค่อย ๆ ราด หมุน แล้วย่าง ราด หมุน แล้วย่างอยู่อย่างนั้น จนกลายเป็นคาราเมลฉ่ำเยิ้ม..
แถมท้ายกันด้วยกานาช Earl Grey กับ Caraway Biscuit (Caraway จะคล้าย ๆ Fennel ค่ะ)
ค่าเสียหาย.. เป็น MO ที่แต่งตัวสบาย ๆ มากเลยค่ะ ไม่มีเดรสโค้ด เห็นนักท่องเที่ยวจีนใส่ชุดวอร์มมากินด้วย ไม่รู้พึ่งไปวิ่ง Hyde Park มารึเปล่า 555 การบริการดีงามค่ะ แนะนำดี มีมุกเฮฮา แต่ไม่ทำให้รู้สึกว่าวิสาสะเกิน
อันที่จริงพี่กัปตันอ๊อด บอกว่าเบอร์เกอร์ของ Bar Boulud ชั้นใต้ดินของ MO นั้นควรค่ามาก ซึ่งทีแรกเราก็ว่าจะเผื่อท้องไว้น่ะนะ แต่ตอนนี้.. ไม่สามารถแล้วจ้ะ ได้แต่หมายใจไว้คราวหน้า.. สักวัน ๆ
อิ่มแล้วก็ต้องหาที่เดินย่อยให้สมกับเป็นทริปลั้นลากิน.. เราเลยไปสักการะ Harrods กันค่ะ
แค่เดินดูของซื้อของขายก็เพลินแล้ว แต่ในนี้ไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์+เน็ตนะคะ ถ้าเดินเข้าไปลึก ๆ แนะนำว่าถ้าจะแยกกันเดิน ให้นัดหมายสถานที่+เวลาเจอกันให้ดี ๆ ก่อน..
นี่ไม่ใช่สตรอว์เบอร์รี่ขาวนะคะ แต่เป็น Pineberry ค่ะ เป็นสตรอว์เบอร์รี่ที่มีรสชาติคล้ายสับปะรด ว่าจะดูของให้เสร็จก่อนแล้วค่อยซื้อมากินเล่นจะได้ไม่ช้ำ แล้วก็.. ลืม -_- ฝากล้างตาด้วยนะคะ
นี่เป็นอีก 1 จุดหมายของว่าน.. Cinco Jotas เป็น Acorn Fed 100% Ibérico Ham ที่นับถือกันว่าดีที่สุดในโลก
อีกที่ที่แวะไปเดินเล่นคือ Harvey Nichols ที่นี่มี Burger & Lobster อยู่ชั้น 5 นะคะ ใครมองหาก็แวะมาได้ แต่สำหรับคณะเรา.. ไม่อยู่ในแพลนค่ะ แหะแหะ ถ้ามีสล็อต(ในท้อง)ว่างค่อยว่ากัน..
แอบดู Blue Label รุ่นลิมิเต็ดแล้วก็คว้าช็อคโกแลตกลับบ้านดีกว่านะเรา -_-‘
ส่วนตัวว่านชอบ Dark Choc ที่มี Cocoa Nibs มากกกก (ก.ไก่ล้านตัว) รู้สึกมันมี texture ดี..
หลังวน ๆ อยู่แถวKnightsbridge ไปดูเป็ดป๋อมแป๋มในปาร์กก็แล้ว จนเริ่มย่อย เราเลยเริ่มออกเดินทางไปกินมื้อเย็น(ห๊ะ) น้องบองเต่าขอแวะสักการะบ้างค่ะ กับมาการงลุง Pierre Hermé
ทริปนี้เราไม่ได้ปักหมุดที่ร้าน Fish & Chips ใดกันเลย แต่ Sunday Roast สำหรับคนรักเนื้ออย่างเรานั้น ขอบอกว่าพลาดไม่ได้ ซึ่งก็ได้คุณChoti ผู้ช่ำชองร้านอาหารในลอนดอนแนะนำให้เช่นเคย.. อันที่จริงคุณChoti แนะนำมาให้สี่ร้าน Hawksmoor Seven Dials, Quality Chop House, Harwood Arms, Bull & Last แต่ด้วยระยะทาง วันว่างและความสอดคล้องกับแผน ว่านเลยเลือก Harwood Arms Fulham ค่ะ
มารู้เอาตอนจองไปแล้วว่าร้าน Harwood Arms Fulham นี่เป็น the only Michelin-starred pub ในลอนดอน คือ Michelin-starred เนี่ย เป็นตัวช่วยตัดสินใจในการเลือกร้านอาหารของว่าน แต่ไม่เสมอไปค่ะ ส่วนใหญ่จะใช้เซ้นส์ตัวเองนี่แหละ แล้วก็หาข้อมูลประกอบด้วย ทั้งจากคนและแหล่งที่เชื่อถือได้ ซึ่งMichelin Guide เป็นแค่ 1 ในนั้น.. เกี่ยวกับ Michelin Guide นี่สงสัยว่าง ๆ ต้องหาเวลาเขียนบล็อกยาว ๆ สักที..
กลับมาที่ Harwood Arms ดีกว่าค่ะ เป็นpubที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางบ้านคน เดิน ๆ ไปนี่ไม่มีแววเลยว่าจะมีร้านอาหารอะไรมาอยู่ แต่พอพ้นโค้งไปก็จะเจอดังภาพ ชั้นล่างทาสีฟ้าเทอร์ควอยส์สวยเชียวค่ะ บรรยากาศไม่เถื่อนนะคะ ออกแนวสบาย ๆ มาเดทยังได้เลยค่ะ ไลท์ติ้งยามเย็นสวยมาก.. เมนูไม่เยอะค่ะ ทีแรกอยากกิน Roast rack of lamb ไม่มีอะ Y_Y งั้นสั่งอย่างอื่นก็ได้..
สำหรับคนที่สงสัยว่า เอ๊ แล้ว Sunday Roast คืออะไรน้า ทำไมต้องดั้นด้นมากินถึงที่อังกฤษด้วย ก็รับชมวีดีโอนี้ได้เลยจ้า
httpv://www.youtube.com/watch?v=sclIfXlRjIE
จานแรกค่ะ Hereford Snails with Oxtail Braised in Stout and Parsley ดีงามตามท้องเรื่อง..
Crispy Venison with Barbecue Rooftop Beetroot, Wild Garlic Mustard and Elderflower
ตัวCrispy Venison เองเฉย ๆ แต่ชอบผักเคียงค่ะ
Slow Cook Shoulder of Herdwick Lamb with Black Garlic, Artichokes and Creamed Spinach
ชอบผักเคียงอีกแล้ว.. ตัวlamb ยังรู้สึกธรรมดาค่ะ
จานสุดท้ายเป็น Roast Rib-eye for 2 with Smoked Bone Marrow, Mushrooms, Greens and Roast Potatoes..
หลายคนคงอยากรู้ว่ากิน Rib ติดกันสองมื้อ มื้อไหนแหล่มกว่า??? .. จะว่ายังไงดีนะ คือจริง ๆ วันนี้กิน Rib ไปแล้ว แล้วพอมากินติดกันสองมื้อ มื้อหลังก็เสียเปรียบอยู่แล้ว อีกอย่างนึงก็คือRoast Rib ที่นี่ overcookไปด้วย อันที่จริงก็ลืมบอกด้วยแหละว่าขอแบบ medium rare ฉะนั้นพอเนื้อมันสุกเกิน ก็เลยเฟลไปเกิน50% ละ แต่.. ผักอร่อยมาก(อีกแล้ว) โดยเฉพาะ roast garlic.. ฉ่ำมากกก อยากสั่งมาอีกชามแล้วเอาป้ายขนมปังกินให้สาใจ (แต่อิ่มแล้ว)
ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าจะกลับมาอีกไหม แต่อาจจะมาแก้มือดู มีอีกหลายเมนูที่อยากกินแต่วันนั้นไม่มี เช่น Scotch Egg ถ้าเลือกได้คงมาวันอาทิตย์ค่ะ จะได้กิน Sunday Roast ให้สมใจ..
เช่นเคยค่ะ ขอบคุณที่ติดตามว่านน้ำนะคะ พบกันใหม่บล็อกหน้าของ #SinghaInLondon จะเป็นเรื่องไหนหรือพาไปกินที่ไหนในลอนดอน ต้องลองลุ้นดูค่ะ
ขอบคุณ Olympus Thailand ด้วยค่าที่เอื้อเฟื้ออุปกรณ์ ได้เลนส์มาลองสองตัวใช้กับ E-PL7 เป็น25mm และ 12mm ภาพถูกใจกันขึ้นไหมคะ ^_^