ความเดิมตอนที่แล้ว.. หลังจากว่านได้เขียนบล็อก “เล่าเรื่องขอวีซ่าสหรัฐอเมริกาในฐานะฟรีแลนซ์ และไขความจริง”เขาว่ากันว่า”ในการขอวีซ่าอเมริกา” http://wan-nam.com/us-visa/ ไปเมื่อกลางปีที่แล้ว..
เมื่อต้นปีนี้เอง ทางสถานทูตสหรัฐก็ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการขอวีซ่าท่องเที่ยวใหม่ ง่ายกว่าเดิมจ้า XD
เรามาดูกันเถอะว่ามัน”ง่าย” กว่าเดิมยังไง
1511509_700147670006378_358252333_o
อันที่จริงแล้ว มันก็ยังง่ายเหมือนเดิมแหละ เพียงแค่ 1-2-3
1. สมัคร
กรอกแบบฟอร์ม DS-160 ได้ที่ https://ceac.state.gov/genniv/
วิธีกรอกโดยละเอียด อ้างอิงตามบล็อกเดิมได้เลยค่ะ

2. จ่ายค่าวีซ่า+นัด
สร้างaccount 
ที่ http://www.ustraveldocs.com/th/
โดยเลือกประเภทของวีซ่าและค่าธรรมเนียมตามวีซ่าที่จะขอ แล้วเราก็จะได้แบบฟอร์มใบฝากเงินธนาคารที่มีรายละเอียดตามที่กรอกไป ให้..
– พิมพ์แบบฟอร์มใบฝากเงินธนาคารนั้นซะ แล้วไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงศรี ฯ สาขาที่ระบุ หรือ..
จ่ายออนไลน์ก็ได้ค่า สะดวกมากมาย..
ค่าขอวีซ่าท่องเที่ยว B-2 ณ ตอนนี้ยังอยู่ที่ US $160 ถ้วนเหมือนเดิมนะคะ

จากเดิมที่ต้องซื้อ PIN จองวันก่อนแล้วถึงจะต้องถ่อไปปณ.ไทยเพื่อชำระค่าวีซ่า ตอนนี้ทางสถานทูตก็รวบตึงขั้นตอนให้ง่ายขึ้น โดยจ่ายครั้งเดียวเลย ทั้งยังสามารถจ่ายออนไลน์ได้ด้วยสะดวกจัง..
อย่าลืมเก็บ Virtual Account ID ไว้ด้วยนะคะ

หลังจากจ่ายค่าวีซ่าเสร็จแล้ว เราก็กลับมาที่ http://www.ustraveldocs.com/th/ หรือโทรเข้าคอลเซ็นเตอร์ 02-105-4110  เพื่อนัดวันได้เลยค่า
จากเดิมที่ร่ำลือกันว่าต้องจองข้ามภพข้ามชาติ ตอนนี้ก็จองง่ายขึ้นมาก แถมยังเข้าไปจองวันถัดไปได้เลยแหละ!!!
โดยที่..
จ่ายที่เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงศรี ฯ วันจันทร์ถึงศุกร์ กี่โมงก็ได้ -> เข้าไปจองได้วันทำการถัดไป หลัง 12:00 น.เลย ว้าว ๆๆๆ
จ่ายออนไลน์ วันจันทร์ถึงศุกร์ ภายใน14.00น. -> รอข้อมูลจากธ.นู้นสู่ธ.นี้ เข้าระบบ ตึ๊ด ๆๆๆๆ สามารถเข้าไปจองวันได้ 2 วันถัดไป หลัง 12:00 น.

ซึ่งตอนนัดวันเนี่ย เราก็สามารถกรอกที่อยู่สำหรับการจัดส่งพาสปอร์ตและเอกสารกลับได้ หากวีซ่าผ่านนะคะ ซึ่งก็สะดวกกว่าเดิมอีกแหละ เพราะเดิมเราต้องไปจ่ายที่ ปณ. ในสถานทูต จ่าหน้าซองให้เค้าส่งพาสปอร์ตกลับมาให้เรา ตอนนี้ก็จบได้ในขั้นตอนนี้เลยล่ะค่ะ ^_^

3. สัมภาษณ์
สัมภาษณ์ที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา ถนนวิทยุ
การสัมภาษณ์เนี่ย.. ก็ไม่ต้องแห่แหนไปก่อนเวลาสัมภาษณ์นานนักนะคะ ( -“- ) ซักครึ่งชั่วโมงเนี่ยกำลังดี.. เจ้าหน้าที่สถานทูตเล่าให้ฟังว่าคิวนัดสัมภาษณ์คิวแรก 7 โมงเช้าหรือไงเนี่ย แต่มีคนมาตั้งแถวรอตั้งแต่.. ตีห้า!!! 。・゚・(ノД`)
..กว่าจะหลุดเข้าไปถึงห้องสัมภาษณ์ ก็เฉายิ่งกว่าไก่หงอยแล้วล่ะค่ะ >_<

อีกเรื่องที่สำคัญและกินเวลาโดยใช่เหตุไม่แพ้กัน และทางสถานทูตอยากจะขอความร่วมมือก็คือ..
อย่านำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และของติดตัวไปเยอะนักค่ะ อันที่จริงแล้ว ทางสถานทูตรับฝากมือถือเพียง 1 เครื่องเท่านั้น อาจอนุโลมอุปกรณ์จำพวกแท็บเล็ตหรือโน้ตบุคได้อีกนิดหน่อย แต่ทางที่ดีแล้ว ควรนำสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นติดตัวไปให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะให้กระบวนการตรวจรักษาความปลอดภัยและการฝากของเป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็วที่สุดด้วยค่ะ =)

จากนั้นก็เป็นเรื่องของ.. โชคชะตา <3

ไม่ใช่ละ..
เนื่องจากว่า เอกสารจำเป็นที่ใช้ในการขอวีซ่าธุรกิจ/ท่องเที่ยว B1/B2 นั้น (ยัง)มีเพียงแค่ 4 สิ่งถ้วนเท่านั้น(เหมือนเดิม) เรียงตามลำดับนี้เลยนะคะ อันได้แก่
1. พาสปอร์ตที่มีอายุมากกว่า 6 เดือน โดยนับอายุจากวันที่คาดว่าจะเดินทางกลับจากอเมริกา ถ้ามีเล่มเก่า ควรนำมาด้วย
2. รูปถ่าย
3. ใบคอนเฟิร์มแบบฟอร์ม DS-160 ปริ้นต์ให้เห็นบาร์โค้ดชัดเจนนะคะ ใบแรกใบเดียวพอค่ะ เว้นแต่อยากจะปริ้นต์ทั้งหมดไว้อ่านเองด้วย
4. หลักฐานการชำระค่าขอวีซ่า

คำถามหนึ่งซึ่งมักมีคนถามมามาก และเป็นที่สงสัยมากก็คือ.. พิจารณาวีซ่าจากอะไร???
มีหลายกรณีที่ถามเข้ามาคล้าย ๆ กัน เป็นต้นว่า
– ทำงานมานาน หน้าที่การงานดี มีหลักฐานมั่นคง มีเงินฝากประจำ แต่.. ทำไมวีซ่าไม่ผ่าน
– มีเพื่อน/ญาติอยู่เมกา จะไปเยี่ยมได้ไหม จะบอกดีหรือเปล่าว่ามีเพื่อน/ญาติอยู่ที่นั่น จะแสดงหลักฐานอะไรดีที่จะทำให้สถานทูตเชื่อว่าจะกลับไทยจริง ๆ กลัววีซ่าไม่ผ่าน
– มีเพื่อน/ญาติอยู่เมกา ออกหนังสือรับรองให้ ทำไมวีซ่าไม่ผ่าน
– พึ่งจบ อยากไปเที่ยวเมกาก่อนทำงาน เพราะทำแล้วคงลางานไม่ได้อีกเป็นปี จะไปขอวีซ่ายังไงให้ผ่าน กลัวเสียประวัติ

ซึ่ง.. ประเด็นนี้ก็เป็นประเด็นที่ว่านสงสัยตั้งแต่ตอนที่ไปขอเองแล้วแหละ ตอนนั้นก็หาข้อมูลตาจะหลุด ในเว็บไซต์ของสถานทูต มักมีบอกไว้โดยคร่าว(มาก) เพียงแค่ว่า
us-doc0
http://www.ustraveldocs.com/th_th/th-niv-typeb1b2.asp#section5

หลักฐานแสดงรายได้ หนังสือรับรองการทำงานนี่เบ ๆ อยู่ละ.. ไม่มีปัญหา
ไหนลองหาที่มันละเอียดกว่านี้ซิ ก็ไปเจอตามนี้..us-doc

แม่เจ้า.. แน่ใจนะว่าภาษาไทย @_@ 。・°°・(;>_<;)・°°・。ヾ(@† ▽ †@)ノ
คือสรุปแล้วไม่มีข้อสรุป ไม่สามารถสรุปได้ว่าเอกสาร/หลักฐานใดที่สถานทูตต้องการ..

อย่ากระนั้นเลย เราไปบุกสถานทูตสหรัฐอเมริกา ตามมาความจริงกันดีกว่าค่ะ!!!
ซึ่งว่านก็ได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงจากท่านรองกงศุล หัวหน้าฝ่ายวีซ่า แผนกกงสุลของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาในการให้เข้าพบและสัมภาษณ์.. ยิงคำถามแบบเคลียร์ ๆ ไปเลยในหลายประเด็นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา..

ต่อคำถามที่ว่าเอาเอกสาร/หลักฐานอะไรไปยืนยันดี ถึงจะได้วีซ่า..
คำตอบก็คือ..

..

คือ..

ไม่มีจ้ะ *ชะละลา*~**

การพิจารณาวีซ่าของสหรัฐอเมริกานั้น เป็นแบบ Interview-Base หาใช่ Paper-Base อย่างบางสถานทูตไม่
ต่อให้คุณหอบเอกสารมา 108 อย่าง ซึ่ง.. คนไทยทำกันเยอะมาก บางคนถือมาเป็นตั้ง ๆ (ว่านด้วย แหะแหะ แอบสะดุ้ง)
เอกสารเยอะแค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่าการพูดคุยระหว่างการสัมภาษณ์ ที่คุณจะสามารถอธิบายให้เจ้าหน้าที่ที่สัมภาษณ์เชื่อได้ว่าคุณจะไปเที่ยวและกลับมาเมืองไทยจริง ๆ

แน่นอนว่าคำถามต่อมาก็คือ.. จะทำยังไงให้เจ้าหน้าที่เชื่อได้ว่า เราจะกลับบ้านจริง ๆ

คำตอบก็คือ “ความจริงใจ” *ยิ้มฟันขาว*~** 

เจ้าหน้าที่ของสถานทูตนั้น ผ่านการฝึกฝนและมีประสบการณ์มามากมาย แม้การพูดคุยเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่กี่นาที ก็มากพอที่จะมองออกได้แล้วว่าบุคคล ๆ นั้น มีความจริงใจหรือมีความตั้งใจแค่ไหนที่จะไปเที่ยวแล้วกลับมา
สิ่งสำคัญก็คือว่า “อย่าประหม่าและขอให้พูดความจริง”
มีปัญหาอะไร ติดขัดตรงไหน ไม่เข้าใจอะไร ถามมาได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ไม่ต้องกลัว เจ้าหน้าที่ของเราเป็นมิตรและพูดภาษาไทยได้ทุกคน
บางคนไม่เข้าใจ ฟังไม่ทัน หรือกังวล ทำให้เกิดความอึกอักระหว่างการสัมภาษณ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่เองก็ไม่สามารถทราบได้ว่าความอึกอักนั้นมาจากไหน ก็ต้องตั้งข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ถูกสัมภาษณ์กำลังปกปิดความจริงอะไรบางอย่าง?
เมื่อถูกตั้งข้อสงสัยว่า “ปกปิดความจริง” ทีนี้เรื่องก็จะเริ่มยากละ.. (เหมือนคนเป็นแฟนกันเริ่มไม่เชื่อใจกันนี่แหละ) หากเจ้าหน้าที่คิดว่าผู้ขอวีซ่าคนนี้ มีสิทธิ์ที่จะโดดวีซ่าได้ โดยกฎหมายว่าด้วยการเข้าเมืองสหรัฐ ฯ เจ้าหน้าที่มีหน้าที่ที่จะต้อง”ปฏิเสธ”การให้วีซ่าไว้ก่อน..

เรื่องก็เป็นเช่นนี้แลท่านทั้งหลาย..

ฉะนั้น.. เวลาไปสัมภาษณ์.. หายใจเข้าหายใจออกลึกลึ้กกกกก
อย่าประหม่า ตื่นเต้น (คือก็รู้อะนะ ว่ายาก.. แต่อย่าตื่นเต้นเกิ้น เพราะมันอาจทำให้เข้าใจผิดกันได้)
แล้วแค่.. ให้สัมภาษณ์ไปตามตรง.. แค่นั้นเอง ( ^_^ )v

ต่อประเด็นที่ว่า จะต้องมีเงินเท่าไหร่ ถึงจะพอ ก็ยังเป็นไปเหมือนเดิม ตามที่เขียนไว้ในบล็อกเดิม ก็คือให้มันสมเหตุสมผล เช่น ค่าตั๋วไปเมกาก็สามหมื่นละ ไปซักสิบวัน ไหนจะค่ากินอยู่ใช้จ่ายอะไรอีก อย่างน้อยก็ต้องมีเงินเป็นแสน ถ้ามีรายได้อยู่เดือนละหมื่น ก็เท่ากับรายได้สิบเดือน .. โอเค ถ้ามีความจำเป็นต้องไปจริง ๆ ก็อธิบายเหตุผลมาได้ เช่น ไปงานแต่งญาติ หรือประเหมาะถูกหวยรวยสลากออมสิน ก็เล่าสู่กันฟังได้.. นะจ๊ะ

ต่อประเด็นที่ว่า เอกสารต้องแปลไหม ถ้าเป็นวีซ่าทำงาน/ท่องเที่ยว อะไรที่สำคัญ แปลมาก็ดี เช่น หนังสือรับรองการทำงาน แต่ถ้าอะไรที่จุกจิกไก่กาจิปาถะ เช่น หลักฐานเสียภาษี20ใบ โฉนดอีก10ใบ ไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองแปลมาก็ได้ เจ้าหน้าที่ของเรานอกจากจะพูดไทยได้แล้ว ยังอ่านไทยได้ด้วยนะจ๊ะ <3

ต่อประเด็นที่ว่า รอคิวสัมภาษณ์นาน ยืนอยู่กลาง(แดดและ)ลมฝน สู้ทนฟันฝ่า ทางสถานทูตจะทำอะไรได้บ้างไหมนั้น ก็ต้องขอเรียนให้ทราบว่าพื้นที่ทางเท้านั้นเป็นส่วนรับผิดชอบของกทม. ทางสถานทูตไม่สามารถไปสร้างหลังคา กันสาด หรือใด ๆ ได้ค่ะ m( _ _ )m และตามที่ได้แจ้งไปข้างบนแล้ว.. ไม่ต้องแห่ไปก่อนเวลานัดมาก เพียงครึ่งชั่วโมงก็พอแล้ว และอย่านำของติดตัวไปเยอะมากตามที่ได้แจ้งไปแล้วข้างต้น.. นะจ๊ะ

ต่อประเด็นที่ว่า รูปถ่ายต้องเห็นหูไหม .. ท่านรอง ฯ อึ้งไปนิดนึง หลังจากอธิบายว่ามักมีข่าวลือว่ารูปถ่ายขอวีซ่าเมกาต้องเห็นหู ไม่เห็นหูไม่ได้วีซ่านะตัวเธอ ถึงขนาดเป็นทอปิกในทอล์กโชว์เชียวแหละ หยู่โหนว.. ท่านรองก็บอกว่าไม่จำเป็นต้องเห็นหู.. นะ แค่เห็นหน้าชัดเจน รูปถ่ายได้มาตรฐานถูกต้องตาม http://www.ustraveldocs.com/th_th/th-niv-photoinfo.asp ก็พอ (อันที่จริงรูปตามตัวอย่างในนั้นหลายรูปก็ไม่เห็นหูนะ แต่ก็ถามย้ำไปเลยจะได้เคลียร์ปริศนาซะที 555) อ้อ ถ้ารูปถ่ายไม่ผ่านไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ เดี๋ยวนี้ในห้องสัมภาษณ์มีบูทถ่ายรูปติดบัตรอัตโนมัติมาตั้งเลยจ้า..

ต่อประเด็นที่ว่า คุณป้าช่องแปดเป็นใคร เผอิญว่าท่านรองพึ่งมารับตำแหน่ง จึงไม่รู้จักคุณป้าช่องแปด(ในตำนาน) เจ้าหน้าที่จึงเป็นผู้ตอบแทนว่าคุณป้าช่องแปดนั้น ได้พ้นสถานะจากตำแหน่งในสถานทูตไปนานแล้ว บัดนี้ก็ไม่ทราบว่าคุณป้าไปอยู่ไหนหรือทำอะไร จึงเป็นอันปิดตำนานคุณป้าช่องแปดแต่เพียงเท่านี้ สวัสดี

สำหรับเคสต่าง ๆ ที่ถามมานั้น ท่านรอง ฯ แจ้งว่าคงไม่สามารถตอบเป็นรายเคสได้ เนื่องจากไม่ทราบรายละเอียดและข้อเท็จจริง ก็เหมือนเราเอาเรื่องของญาติของเพื่อนไปให้หมอวินิจฉัยอะเนอะ คนไข้ไม่ได้มาให้ตรวจเอง ก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้ ทั้งนี้และทั้งนั้น ทางสถานทูตก็มีความมุ่งมั่นอยู่เสมอในการที่จะปรับปรุง/เปลี่ยนรูปแบบการขอวีซ่าให้ง่ายและสะดวกขึ้นอยู่เสมอ และเดี๋ยวนี้เรามีคอลเซ็นเตอร์เพื่อตอบข้อสงสัยแล้วด้วยนะยูว์ สามารถโทรมาได้ที่ 02-105-4110 ตั้งแต่ 08.00-20.00 น. นะจ๊ะ

สุดท้ายนี้ ท่านรอง ฯ ก็ยังย้ำว่า % ที่คนไทยขอวีซ่าท่องเที่ยวผ่านนั้นมีสูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ และขอวีซ่าท่องเที่ยวที (ส่วนมาก)เราก็ให้สิบปีเลยนะจ๊ะ ฉะนั้นไม่ต้องกลัว อย่าลืมว่าเวลามาสัมภาษณ์ อย่าประหม่ำ อย่าตื่นเต้น และตอบคำถามตามความจริง .. แค่นั้นเอง คุณก็จะได้ไปเที่ยวเมกาแล้ว ( ^_^ )

ขอขอบพระคุณท่านรองกงศุล หัวหน้าฝ่ายวีซ่า แผนกกงสุลของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาที่ให้เกียรติและสละเวลามาให้ว่านน้ำสัมภาษณ์ และขอขอบคุณสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาที่เอื้อเฟื้อประสานงานเป็นอย่างดีค่ะ

พบกันใหม่บล็อกหน้า ติดตามอาหาร+ข่าวสารสาระดี ๆ จากว่านน้ำได้ทาง https://www.facebook.com/wannamdotcom เช่นเคยนะคะ สวัสดีค่ะ =)