ใบไม้ที่นี่ .. คงกำลังจะเริ่มเปลี่ยนสี ..
ขณะที่กดชัตเตอร์เพื่อเก็บภาพนี้ ผมยืนอยู่ใน ศาลเจ้าฟูจิเซ็นเก็น (Fuji Sengen Shrine)
พลางแอบคิดในใจว่า .. หลังจากนี้ไม่นาน เมื่อใบไม้ทยอยกันเปลี่ยนสีจนหมด ที่นี่คงจะยิ่งสวยกว่านี้มาก
ถึงแม้เราอาจจะไม่ได้ยืนอยู่ ยังจุดหมายปลายทางของการเดินทาง ในช่วงเวลาที่สวยงามที่สุด
แต่การได้ออกเดินทาง .. ก็มักจะพาให้เรา ได้ไปพบกับ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิต ..
ด้วยวัย ที่เริ่มผ่านช่วงเวลาต่างๆ ในชีวิตมามากขึ้น
ทำให้ผม ได้มีโอกาสออกเดินทางไปไหนต่อไหนมากขึ้นไปด้วย
ถึงกระนั้น .. ผมก็ยังคงรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ออกเดินทาง ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ..
การเดินทางครั้งนี้ ทาง CP ALL ได้เชิญ เหล่าบล็อกเกอร์และพี่น้องสื่อออนไลน์จากเว็บไซต์ต่างๆ กว่า 10 ชีวิต
ร่วมออกเดินทาง ไปเปิดประสบการณ์ร่วมกัน ณ ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงวันที่ 13-18 ตุลาคม ที่ผ่านมา
โดยมีจุดหมายหลักที่ เมืองโตเกียว เมืองคามาคุระ และชมวิวภูเขาไฟฟูจิจากยอดเขาเท็นโจ
กระผม นาย Artfully ได้รับความไว้วางใจ ให้ร่วมเดินทางในครั้งนี้ ในฐานะตัวแทนของพี่ว่านน้ำ ^^
และขออนุญาต .. ทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวการเดินทาง ให้ทุกท่านได้รับฟังกันนะครับ
จุดหมายแรก หลังจากเครื่องแลนดิ้งที่สนามบินนาริตะ คือการเดินทางสู่ เอโนะชิมะ
ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เอโนะชิมะ เป็นเกาะเล็กๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของเมืองฟุจิซะวะ
มีพื้นที่ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำคะตะเซะ
ภาพที่เห็นระหว่างทางก่อนถึงจุดหมาย ทำให้ผมได้เห็นภาพชายหาดที่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก
ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันไม่ได้สวยงามอะไรนัก .. ประมาณได้ว่าพัทยาบ้านเรา หรืออาจจะดูด้อยกว่าเสียอีก
แต่ความสวยงามของชายหาด .. ไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดความรู้สึกของผม .. สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าที่ตรงนี้
โคตรดูมีชีวิตชีวา คือภาพชีวิตของผู้คน .. ที่ดูจะมีความสุขกับการทำกิจกรรมต่างๆ บนชายหาดและน้ำทะเล
เพราะการกิน เป็นสิ่งจำเป็น 😛
มันจึงเป็นสิ่งแรกที่เราได้ทำ เมื่อเดินทางถึง เอโนะชิมะ .. ที่เกาะเอโนะชิมะ มีอาหารทะเลมากมายหลายหลาก แล้วก็ดูจะน่ากินไปเสียหมด
แต่เมนูที่ทางทัวร์แนะนำกับพวกเรา คือ Shirasu Don (ข้าวหน้าปลาข้าวสาร) ซึ่งปลาข้าวสาร ก็คือสินค้า OTOP ของเกาะเอโนะชิมะแห่งนี้นี่เอง
เมนู Shirasu Don นี้ จะมีให้เลือก ทั้งแบบดิบๆ หรือแบบลวกสุก หรือ ทั้งสองอย่างผสมกัน
ส่วนของผมเอง ขอเลือกแบบสุกแล้วดีกว่า มีไข่ราดหน้ามาให้ด้วย สำหรับรสชาติก็อร่อยดีครับ รสอ่อนๆ กินง่ายดี
ส่วนอาหารทะเลอย่างอื่นที่ได้ลอง ก็สดใหม่ อร่อยถูกใจมากครับ
หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว .. เราก็เดินขึ้นเขาเบาๆ (พอได้เหงื่อ) สู่ศาลเจ้าเอโนะชิมะ (Enoshima Shrine)
ซึ่งประกอบไปด้วยศาลเจ้าเล็กๆ 3 แห่ง ตั้งอยู่รอบๆเกาะ โดยศาลหลักมีอาคารทรงแปดเหลี่ยม
และเป็นที่ประดิษฐานของเทพผู้คุ้มครองเกาะ รูปปั้นบูชาเบ็นเท็น (Statues of Benten)
บนศาลเจ้าจะมีจุดชมวิวให้แวะนั่งพักผ่อน และชมทัศนียภาพอันสวยงามของเกาะ
แค่ได้นั่งเล่นตรงนี้ก็รู้สึก Happy แล้วละครับ ^^
อีกสิ่งนึง … ที่เป็นความประทับใจของทริปนี้ ก็คิือ การได้นั่งรถไฟชมวิวเลียบทะเล
โดยขึ้นจาก สถานีเอโนะชิมะ ถึงสถานีคามาคุระ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 กว่านาที
ได้เห็นบ้านเรือน ผู้คน ตลอดสองข้างทาง เป็นขบวนรถไฟเก่าขนาดเล็กๆ ดูน่ารักและมีชีวิตชีวาอย่างบอกไม่ถูก
สำหรับจุดหมายสุดท้ายของการเดินทางวันแรก อยู่ที่วัดพระใหญ่ไดบุตสึ (The Great Buddha of Kamakura)
ซึ่งเป็นพระองค์ใหญ่ สร้างด้วยสัมฤทธิ์ ความสูง 13.35 เมตร เป็นพระอมิตาภพุทธะ เนียวไร (Amida Nyorai)
โดยมีความเชื่อว่า พระไดบุตสึ เป็นผู้ปกป้องแผ่นดินญี่ปุ่นไว้ จากการรุกรานของศัตรู
จากที่ได้เคยสัมผัสบรรยากาศวัดในญี่ปุ่นมานิดๆ หน่อยๆ
สิ่งนึงที่ผมชอบมากคือ มันเป็นสถานที่ ที่รู้สึกได้ถึงความสงบจริงๆ
ด้วยบรรยากาศ ด้วย space ที่สงบในตัวเอง ถึงวันที่ผมไป จะมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างมากก็ตาม
Motosu View Hotel Onsen
เป็นเรียวกัง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับ ทะเลสาบโมโตสุโกะ (Lake Motosuko)
ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาไฟฟูจิ จริงๆแล้วจากหน้าโรงแรม สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้เลย
แต่น่าเสียดาย .. ที่ช่วงเวลาที่พวกเราเข้าพักที่นี่ มีเมฆมาบดบัง จนเห็นภูเขาไฟฟูจิแค่ลางๆ
ภายในห้องพักค่อนข้างกว้างขวาง ปูพื้นด้วยเสื่อตาตามิ
จริงๆ แล้ว ครั้งนี้เป็นทริปญี่ปุ่นครั้งที่สองของผม แต่เป็นครั้งแรกที่เพิ่งมีโอกาสได้นอนเรียวกัง
ได้นอนบนที่นอนฟุตง ซึ่งมันนุ่มและนอนหลับสบายมากมาย เป็นครั้งแรก ที่ได้ลองสวมชุดยูกาตะ
และเป็นครั้งแรกที่ได้ลองแช่ออนเซ็น
ทั้งที่ทริปที่แล้ว ได้มีโอกาสไปหมู่บ้านอาริมะออนเซน แต่กลับไม่กล้าลอง
นึกแล้วเสียดายมาถึงตอนนี้ ><”
สำหรับอาหารที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ ก็คงเป็น ขาปูยักษ์ที่ทานได้ไม่อั้นในมื้อเย็น
บรรยากาศรอบๆโรงแรมอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ตอนเช้าๆ อากาศดีมาก
ผมตื่นเช้า เดินออกจากหน้าโรงแรมไปที่ ทะเลสาบโมโตสุโกะ ใช้เวลาแค่ 5-10 นาที
เป็นทะเลสาบที่กว้าง นิ่ง เงียบ สงบ … จนผมอยากยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนี้นานๆ
แต่ก็ใช้เวลาได้ไม่นานมากนัก เพราะต้องรีบ check-out จากโรงแรมเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป ..
ศาลเจ้าฟูจิเซ็นเก็น (Fuji Sengen Shrine)
ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูเขาไฟฟูจิ อยู่ในเขต Fujiyoshida จังหวัด Yamanashi
ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งนึงในญี่ปุ่น ภายในเต็มไปด้วยต้นสนไม้ใหญ่ อายุนับพันๆ ปี
ใบไม้ที่นี่ .. บางส่วน กำลังค่อยๆ ทยอยเปลี่ยนสี มันอาจจะน้อยมาก .. แต่ก็นับว่าโชคดี
ที่ยังมีโอกาสได้เห็น
คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko)
ทะเลสาบคาวากุจิโกะ อยู่ในเขตจังหวัดยามานาชิ
เป็นทะเลสาบที่มีความใหญ่ ถือได้เป็นอันดับที่ 2 จากทะเลสาบรอบๆ ภูเขาไฟฟูจิทั้งหมด
และในความเป็นจริง น่าจะเป็นที่ๆ ถ่ายภาพวิวภูเขาไฟฟูจิ และภาพใบไม้เปลี่ยนสีได้สวยมากๆ อีกแห่งหนึ่ง
แต่พวกเรามาถึงที่นี่ .. ออกจะเร็วไปสักหน่อย เป็นช่วงที่ใบไม้ ยังไม่เปลี่ยนเป็นสีแดง
เป็นเพียงช่วงเริ่มต้นเท่านั้น … ไม่เช่นนั้นคงจะได้ภาพถ่าย ที่สวยกว่านี้อีกมาก
ภาพนี้ ถ่ายจากกระเช้าไฟฟ้า Kachi Kachi
เมื่อขึ้นกระเช้าไฟฟ้า มาถึงยอดเขาเท็นโจเพื่อชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ตอนนั้นเวลาเกือบ 11 โมงเช้า
และแล้ว .. เราก็ … ไม่ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิ … เพราะเมฆบังจนมิด -_-”
สมกับที่เค้าว่ากันไว้ว่า คุณฟูจิซังนั้นขี้อาย ..
อาจดูเหมือนเป็นเรื่องน่าเสียดาย .. ที่พลาดทั้งใบไม้เปลี่ยนสี และวิวภูเขาไฟฟูจิงามๆ
แต่สิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ก็เป็นเรื่องธรรมดา และบางที ..
มันก็เหมือนเป็นเสน่ห์อย่างนึง .. ของการเดินทางเหมือนกันนะ
แต่แล้ว คุณฟูจิซัง ก็เปิดโอกาสให้เราอีกครั้ง … ตอนที่เราเดินช็อปอยู่ที่ โกเทมบะ พรีเมี่ยมเอาท์เล็ต
เมื่อท้องฟ้าเปิด … เราจึงได้เก็บภาพภูเขาไฟฟูจิสมใจสักที
ถึงอาจจะไม่ได้เป็นภาพถ่าย ที่สวยงามอะไรนัก .. แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ยิ้มได้อีกครั้ง
ช่วงเย็นเราเดินทางเข้าสู่เมืองโตเกียว ระยะทางประมาณ 116 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชม.
เพื่อรับประทานอาหาร ที่ร้าน Rokkasen ซึ่งเป็นร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่าง ขวัญใจคนไทย ..
ทางร้านติดประกาศไว้ชัดเจนว่า ต้องทำการจองไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นอาจจะมีโอกาสไม่ได้ทานอย่างสูงครับ
ส่วนสัมผัสและรสชาติของเนื้อนั้น … นุ่ม .. ชุ่มลิ้น .. ดีงามตามท้องเรื่องเลยครับ ลายเนื้อสวยมาก
วันที่พวกเราไปทานกัน ก็มีคนไทยอยู่แทบจะทั้งร้านเลยครับ อบอุ่นดังอยู่เมืองไทย
ผมทานหนักมากจนอาหารไม่ย่อย ท้องอืดไปถึงอีกวันเลยทีเดียว 😛
Wishton Hotel
เราออกจากตัวเมืองมานอนที่ชิบะ ที่โรงแรม Wishton Hotel ในคืนที่ 2 – 3 ของทริป
ตัวโรงแรมอยู่ติดกับ Yukarigaoka Station แต่ก็นับว่าไกลจากโตเกียวพอสมควรเลยทีเดียว
โรงแรมค่อนข้างใหม่ และใหญ่พอสมควร
ภายในห้องพัก มีขนาดค่อนข้างคอมแพค ตามมาตรฐานโรงแรม 3 ดาวในญี่ปุ่น
ห้องพักดูใหม่ สะอาด มีการตกแต่งพอสมควร ห้องดูสว่างๆ ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดเลย
ตอนเช้า .. ผมตื่นมาเดินสำรวจตัวเมืองรอบๆโรงแรม มีฝนพรำหน่อยๆ
แถวนี้เป็นย่านอยู่อาศัย ค่อนข้างเงียบสงบ .. ไม่วุ่นวายครับ
7-Eleven At Japan
สำหรับภารกิจช่วงสายๆ ของวันนี้ คือการบุกร้าน 7-Eleven ที่ญี่ปุ่น
เพื่อสำรวจของกินและขนมต่างๆ ครับ
7-Eleven ที่ญี่ปุ่นนั้นมีมากกว่า 17,800 สาขา ซึ่งถือว่ามากเป็นอันดับ 1 ของโลก
ในขณะที่ประเทศไทยของเรา ตามมาเป็นอันดับที่ 2 มี 8,500 สาขา
ซึ่งแซงหน้า อเมริกาที่เป็นต้นกำเนิดของ 7-Eleven ไปแล้วครับ (อเมริกามีอยู่ 8,100 สาขา)
ถึงแม้ที่ญี่ปุ่นจะมี Family Mart และ Lawson เป็นอีก 2 ตัวเลือกหลักๆ ในตลาด
แต่ 7-Eleven ที่ญี่ปุ่น ก็ยังคงเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งด้านจำนวนสาขา และสัดส่วนทางการตลาด
** ข้อมูล ณ กรกฎาคม 2558 **
สำหรับด้านของกิน .. ถ้าคิดว่า 7-Eleven ในบ้านเรา มีของกินเยอะแล้ว
ขอบอกว่า .. ที่ญี่ปุ่นมีเยอะกว่า และหลากหลายกว่าด้วยครับ ^^
ที่สำคัญ คือมันน่ากินไปหมด
ไม่ว่าจะพวกเบเกอรี่ ข้าวปั้น อาหารกล่อง ขนม ชา น้ำดื่มต่างๆ มีหลากหลายมากครับ
โดย 7-Eleven ที่นี่ จะมีมุมที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์ ให้ลูกค้าสามารถรับประทานอาหารที่ร้านได้เลยครับ
นอกจากนี้ 7-Eleven ที่ญี่ปุ่น ยังมีบริการอื่นๆ ที่บ้านเรายังไม่มีด้วยครับ
เช่น 7Bank ซึ่งจะมีเครื่อง EGM
เป็นเครื่องที่ใช้ทำธุรกรรมทางการเงิน สามารถ ฝาก-ถอน ได้ 24 ชม.
จากสาขาไหนก็ได้ โดยมีค่าธรรมเนียมที่ถูกมาก
และบริการจากเครื่อง Multi-Copy ซึ่งเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า สามารถใช้เป็น Printer, สำเนาเอกสาร
ใช้ซื้อตั๋วได้ทุกชนิด และยังสามารถใช้เป็นเครื่อง print รูปภาพจากกล้องดิจิตอล ได้อีกด้วย
ตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji Fish Market)
เป็นตลาดปลาชื่อดังในกรุงโตเกียว และถือเป็นตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มีร้านซูชิชื่อดัง และเต็มไปด้วยร้านอาหารมากมาย
** ตลาดปลาซึกิจิ กำลังจะย้ายไปยังสถานที่แห่งใหม่ ซึ่งอยู่ในย่าน Toyosu ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2016 นี้ **
สำหรับที่นี่ .. มีร้านน่าทานหลายๆ ร้านเลย แต่เนื่องจากมีเวลาน้อยไปสักหน่อย
ผมเลยซื้อปลาไหลเสียบไม้กินแบบง่ายๆ .. แล้วก็เดินเก็บภาพบรรยากาศต่างๆ มาให้ชมกันครับ
ชินจูกุ (Shinjuku)
ช่วงเย็นเรากลับเข้าเมืองโตเกียว มาย่าน ชินจูกุ พอมีเวลาช็อปปิ้ง พอสมควร
ผมเองไม่ใช่สายช็อป .. แต่ก็ได้นาฬิกากลับมาเรือนนึง จาก bic camera
แล้วก็เดินหาซื้อของฝากคนทางบ้าน นิดๆ หน่อยๆ
หลังจากนั้นก็เดินสำรวจเมือง ถ่ายรูปเล่นตามประสา
ภาพชีวิตของผู้คนที่นี่ ดูมีความเร่งรีบตามประสาคนเมือง ผมมองเห็นความวุ่นวาย แต่ก็เป็นระเบียบ
ซึ่งมันเป็นความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
และปิดท้ายมื้อเย็นของวันนี้ ด้วย Momo Paradise
หมู่บ้านซาวาระ (Sawara)
เป็นหมู่บ้านที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองนาริตะ เคยเจริญรุ่งเรืองสมัยเอะโดะ เป็นหมู่บ้านเก่าแก่
และมีสิ่งปลูกสร้างในแบบดั้งเดิมเหมือนในอดีต เหมาะสำหรับเดินถ่ายภาพย้อนอดีตญี่ปุ่นสมัยก่อน
สำหรับผมรู้สึกประทับใจกับวัสดุ ที่ใช้ในการปลูกสร้างบ้านของที่นี่มาก เพราะเป็นการใช้ไม้เก่า ที่มีลายสวยๆ ทั้งนั้นเลยครับ
ฮาราจูกุ (Harajuku)
เป็นจุดสุดท้ายที่เราแวะก่อนเดินทางกลับเมืองไทย .. ผมใช้เวลากับที่นี่ส่วนใหญ่ ไปกับการเดินถ่ายภาพ
และนั่งมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมา ^^
ก่อนที่จะหมดเวลา .. ผมแวะเข้าไปเดินเล่นที่ ศาลเจ้าเมจิ ไม่น่าเชื่อว่าใจกลางเมืองที่ดูสุดแสนจะวุ่นวาย
จะยังมีพื้นที่ ที่มีต้นไม้ใหญ่ๆ มีความเป็นธรรมชาติสูงมาก และเงียบสงบได้มากขนาดนี้ …
ขอปิดท้ายไปด้วยรูปบรรยากาศ ระหว่างทางเดินเข้า ศาลเจ้าเมจิ เลยแล้วกันนะครับ ^^
ปกติแล้ว .. ผมเป็นคนพูดน้อยครับ .. แต่ผมชอบฟัง .. ชอบดู ชอบมองผู้คน ..
ผมมีความเชื่อว่า .. มนุษย์ทุกคน ล้วนเชื่อมโยงถึงกันทางความรู้สึก
ถึงแม้จะเป็นคนแปลกหน้า คนที่ไม่เคยรู้จักพูดคุยกันมาก่อน การได้ใช้เวลา ได้ร่วมอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
ได้เห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะ ได้สัมผัสถึงความรู้สึกของกัน อาจเพียงแค่นาทีสั้นๆ ในช่วงเวลานึง
ก็อาจเป็น ภาพจำ ที่เราเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ ให้นึกถึงได้ ..
คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร … ที่รอยยิ้มจากคนแปลกหน้า .. จะทำให้เรามีความสุขและยิ้มตามไปด้วย
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยว สวยๆ อากาศดีๆ .. การได้ออกไปเห็นภาพชีวิตของผู้คนที่แตกต่างและหลากหลาย
ก็อาจจะเป็นคำตอบนึง ที่มนุษย์ทุกคน ต้องออกเดินทาง ^^
ขอบคุณครับ