เมื่อวันที่ 02.10.13 ที่ผ่านมา Johnnie Walker ร่วมกับ Perfume ได้จัดงาน “A Notable Experience” ที่Perfume:Fragrance Bar and Aromatic Cuisine
“A Notable Experience” เป็นงาน Exclusive Event เฉพาะแขกผู้ได้รับเชิญเท่านั้น ที่จะมาดื่มด่ำไปกับทั้งนานาอาหารและเครื่องดื่มScotch Whisky ชั้นเลิศจาก House of Johnnie Walker โดยมีคุณแจน เจนณรงค์ ภูมิจิตร Brand Ambassador ให้การต้อนรับและเล่าเรื่องราวอันน่าสนใจของ John Walker & Sons อีกด้วย
Perfume : Fragrance Bar and Aromatic Cuisine ตั้งอยู่ชั้นG ตึก Ei8ht Thonglor
เป็นร้านอาหารแนวผสมผสานที่เน้นระหว่างการจัดวางจาน รสชาติของอาหารและโสตสัมผัสจากกลิ่นเพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่เต็มอิ่มในทุกด้านของการรับประทานอาหาร การตกแต่งใช้งานเหล็กและกระจกเป็นหลัก ให้กลิ่นอายแบบ Neo European จุดเด่นคือเพดานที่ประดับประดาด้วยโคมไฟรูปทรงขวดน้ำหอมมากมาย
บรรยากาศของงานในค่ำคืนท่ามกลางฝนที่โปรยปรายนั้น เข้มขลังไปด้วยสีน้ำเงินอันโดดเด่นของ Blue Label
และแต่งแต้มความอลังการด้วยสีทองของตราสัญลักษณ์ JWS
เราเริ่มค่ำคืนนั้นกันด้วยค็อกเทลที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Gold label ที่”ปรุง”โดย Perfume’s Liquidchefs
Green Lantern โดยคุณ Oui
J.W Gold Reserve, Dry Vermouth, Blue Curacao, syrup, strawberry Ikura Juice, Lime, Melon Caviar, Angostura bitters
Spicy Gold โดยคุณ Toh
J.W Gold Reserve, Gin, Hazelnut syrup, Honey, Lemon, Ginger, Perrier
Caramel Blitz โดยคุณ JoeJoh Sang
J.W Gold Reserve, Peach liqueur, Orange juice, Simple syrup, Lime juice, Quail Egg
ตัวนี้สาว ๆ ชอบกันมาก ดื่มง่าย พร็อพเป็นช่อชั้นอลังการ เหมาะแก่การถือจิบเก๋ ๆ (ห้ามจิบโฮก เพราะคาราเมลจะทิ่มจมูก 555)
และLemon Candy โดยคุณ Art
J.W Gold Reserve, Dry Vermouth, Creme de Cacao, Lemon citrus
ระหว่างจิบค็อกเทลก็มีSpicy Beef Nachos มาให้กินเล่น.. กรุบกรอบดีค่ะ ไม่แฉะเลย ดีจัง..
มีแบบ Vegetarian ด้วย แต่เราเน้นเนื้อ 555
จากนั้นก็ชมภาพยนตร์ความเป็นมา กว่าจะมาเป็น Johnnie Walker.. น่าสนใจทีเดียวค่ะ
แน่นอนว่าจะเป็นค่ำคืนแห่ง House of Walker ไปไม่ได้ ถ้าขาด Scotch Whisky จาก J.W
ซึ่งในคืนนี้ก็มีมาให้”ดื่มด่ำ” กันอย่างมากมาย..
ทั้ง Gold Label Reserve เป็น Blended Scotch Whisky ไม่ระบุจำนวนปีที่หมักบ่ม รสชาติไม่หนี Black Label เท่าไหร่
Platinum Label หมักบ่มไม่น้อยกว่า 18 ปี ให้กลิ่นรสที่หอมหวาน เจือวนิลาเล็กน้อยเหมือนตัว Gold Label เดิม เหมาะดื่มกับ ice ball
Blue Label แม้ไม่ระบุจำนวนปีที่หมักบ่มเช่นกัน แต่ก็เป็นที่ยอมรับว่าเป็นสุดยอดแห่ง Blended Scotch Whisky วิธีดื่มที่คู่ควรคือการกลั้วปากด้วยน้ำเย็นจัด จากนั้นจึง”จิบ” ให้รสชาติของ Blue Label กำซาบในปาก..
จะรู้ถึงได้ถึงรสหอมหวานเคล้าดาร์ดช็อคโกแลต และสัมผัสถึงกลิ่นควันจาง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น.. คือ Johnnie Walker Blue Label King George V
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักรคือกษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ John Walker & Sons ผลิต Scotch Whisky เพื่อใช้ในวโรกาสต่าง ๆ ในราชสำนักอังกฤษเมื่อปี ค.ศ.1934 และ Johnnie Walker Blue Label King George V นี้ก็คือการนำสูตรวิสกี้ที่เคยผลิตเมื่อครั้งกระนั้น มาผลิตขึ้นใหม่นั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะโรงบ่มวิสกี้หลายโรงก็ปิดตัวไปแล้ว.. แต่ Johnnie Walker ก็สามารถค่ะ สนนราคาต่อขวดอยู่ที่ราว ๆ 25,000 บาท ซึ่งท้ายงานเราก็จะได้”ชิม” กันด้วย.. ว้าว..
เหนือระดับไปกว่า Johnnie Walker Blue Label King George V ก็คือ John Walker & Sons Odyssey ที่เห็นนี้.. สนนราคาราวขวดละ 40,000 ค่ะ งานนี้ได้แต่ชม ไม่ได้ชิมนะคะ =)
และสุดยอดแห่งความเป็น John Walker & Sons ก็คือ Johnnie Walker Diamond Jubilee
จัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งมีเพียง 60 ขวดทั่วโลกเท่านั้น สนนราคาต่อขวดอยู่ที่.. ราว 5 ล้านบาท
httpv://www.youtube.com/watch?v=QwB11yy7jyc
นอกเหนือจากเครื่องดื่มแล้ว บนโต๊ะก็น่าสนใจใช่น้อย..
มาดูกันดีกว่าค่ะ ว่านอกเหนือจากเมนู แก้ว เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารอย่างทั่วไปแล้ว มีอะไรอีกบ้าง..
โอ้โฮ.. ทั้งขนนก ถ้วยหมึก เทียนไข สาสน์ในขวดแก้ว..
เอ.. อันนี้เป็นกระดาษเปล่า มีแต่หมายเลข เอาไว้ทำอะไรกันนะ..
ยังไม่ทันได้คำตอบ.. J.W Gold Label Reserve ก็เริ่มรินค่ะ..
ภายใต้แก้วทั้งสามใบของวิสกี้ในค่ำคืนนี้ทั้งสามตัว มีบอกคาแรกเตอร์ของแต่ละตัวไว้ด้วย..
อาหารในงาน “A Notable Experience” นี้ ก็ “ล้อ” มาจากnoteน้ำหอมของความเป็น “Perfume” และnoteกลิ่นที่ได้จาก Blue Label นั้นเอง.. ถ้าใครเป็นคอไวน์ หรือคอวิสกี้ จะทราบดีว่า “กลิ่น” ของเหล้าชั้นดีนั้น จะมีความซับซ้อนในตัวเองค่อนข้างมาก สามารถแยกย่อยออกมาได้มากมาย และ Perfume ก็หยิบnoteต่าง ๆ เหล่านี้ มาสร้างสรรค์เป็นอาหารจานต่าง ๆ เพื่อให้เข้าคู่และเสริมรสวิสกี้ของ J.W นั่นเอง..
เริ่มกันที่ Fresh Note: Bellisi Basilica
French Bread-Tomato-Balsamic-parmesan-mozzarella cheese- basil air
ขนมปังฝรั่งเศสอบพอกรอบ พร้อมมะเขือเทศ น้ำส้มบัลซามิก Parmesanชีสและ Mozzarellaชีส
ให้กลิ่นอายอย่างBruschetta ถมหน้าด้วยParma ham ซึ่งคล้องจองกับParmesanชีสได้เป็นอย่างดีเพราะมาจากแคว้นเดียวกัน.. แล้วประดับด้วยโฟมโหระพา..
ระหว่างเสิร์ฟ์ก็มีการเร้านาสิกสัมผัสด้วยควันโหระพาด้วย.. ดึงกลิ่นให้เด่นชัดขึ้น..
Oceanic Note: S.O.S
Hokkaido Scallops-greens-orange dressing-pistachio
หอยเชลล์สดจากฮอกไกโดฝานบางเฉียบ เคล้าน้ำสลัดปรุงจากน้ำส้มคั้นสด ให้รสสดชื่นบางเบา แต่ไม่กลบความหวานตามธรรมชาติจากเนื้อหอย โรยถั่วพิสตาชิโอ้เพิ่มรสสัมผัสกรุบเล็ก ๆ ไม่ให้น่าเบื่อ
ระหว่างนี้ก็ทยอยเสิร์ฟวิสกี้ตัวอื่น ๆ ไปเรื่อย ๆ ทั้ง J.W Platinum Label
ปริศนาแรกเริ่มขึ้นเมื่อผู้จัดแจ้งว่าให้เราเขียนความในใจ ความปรารถนา สิ่งที่รู้สึก.. อะไรก็ได้ด้วยขนนกลงบนกระดาษเปล่าที่มีหมายเลขกำกับอยู่ ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือกระดาษที่ทำมาจากแป้งนั่นเอง ส่วนหมึกที่เห็นก็คือซอสบลูเบอรี่.. แล้วให้ใส่กระดาษนั้นลงในขวดแก้วดังเดิม และทางร้านก็เก็บขวดแก้วนั้นไป.. จะเอาไปทำอะไรกันนะ..
จานต่อมาเป็น Oriental Note: Quack Quaque
Duck Consomme-Pearl Vegetable-Cinnamon-Pepper
ซุปเป็ดใส ได้กลิ่นรสความเข้มข้นของเป็ดชัดเจน(แต่ไม่มีกลิ่นสาบเป็ดนะจ๊ะ)
กระดาษสีขาวนั้นทำจากแป้งเช่นกัน ด้านหลังเป็นครีมซินนะม่อน
ลอยในซุปเพื่อให้กลิ่นรสซินนะม่อนกำจายแล้วรับประทานได้เลย
ยังเสิร์ฟไม่ยั้ง.. J.W Blue Label..
Fougere Note: From… Dear…
Foie Gras – Green Apple – Basil – Port Wine – Lavender Crust
เป็นฟัวกราชิ้นหนา deveined และ seared มาอย่างดี กรอบนอก นุ่มใน
ซอส Port Wine ปรุงมารสชาติพอเหมาะ ช่วยให้ไม่เลี่ยน ประดับด้วยกระดาษคำอธิษฐานของเรานั้นเอง..
Main Course มีสองอย่างให้เลือก จะเป็น Floral Note: Upstream to the Garden
Salmon – Asparagus – Potato Gratin – Dill Fragrance
เป็นจานปลาแซลม่อน เนื้อค่อนข้างสุกแห้งไปเสียหน่อย
ถ้าทอดมาแบบตรงกลางยังเป็นส้มอมชมพูใส น่าจะอร่อยขึ้นมาก เพราะปรุงรสมาได้ดี
Leather Note: Tanned from Down Under
Rib Eye – Ratatouille – Potato Lyonnaise – Thyme Essence
จานนี้ก็ overcook มาเหมือนกันอย่างน่าแปลกใจและน่าเสียดาย เพราะวางรสชาติมาโอเคเลยแหละ..
เครื่องดื่มที่เสิร์ฟคู่กับ Main Course ก็คือ Johnnie Walker Blue Label King George V
รสชาตินุ่มลื่นและพลิ้วไหว สมกับเป็นสูตรและส่วนผสมเดิมเฉกเช่นเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว..
มีความหวานลึกเหมือนผลไม้แห้งเจือเครื่องเทศจาง ๆ จบทิ้งยาวเหมือนผ้าไหมไหลลงคอ..
แล้วก็มาถึงคอร์สสุดท้าย Smoky Note: BurnBerry Cheese Cake
Fresh Blueberry – Lemon – Vanilla Ice Cream -gunpowder burn
เป็นชีสเค้กบลูเบอร์รี่เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวนิลา.. ที่ดูธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา
เพราะเมื่อจุดเทียนประจำตัวแตะลงไป ก็จะเกิดประกายไฟขึ้นมา พรึ่บ!!!
เรียกได้ว่าเป็นการปิดท้ายมื้ออาหารที่น่าตื่นตาตื่นใจดีค่ะ =)
ขอขอบคุณJohnnie Walker คุณแจน คุณมิกะและ Perfume ที่เชิญว่านมาในค่ำคืนนั้นนะคะ
เคยได้สัมผัส Blue Label มาบ้าง แต่ไม่ลึกซึ้งเท่านี้ค่ะ.. สนุกและน่าสนใจดี =)
ท้ายงาน แขกแต่ละท่านก็จะได้รับ J.W Blue Label Complimentary 750 ml กลับบ้านด้วย..
ใครสนใจร้านอาหาร งานevent น่าสนใจแบบนี้ ก็ติดตามแฟนเพจว่านน้ำกันได้นะคะ
https://www.facebook.com/wannampantip
แล้วจะนำเรื่องราวน่าสนุกน่าสนใจเช่นนี้มาเสนอกันเรื่อย ๆ ขอบคุณค่ะ =)